ในอดีตกาลนานมา มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าสีวิมหาราช ครองราชสมบัติ ในกรุงเชตุดรแห่งแคว้นสีพี มีพระโอรสพระนามว่า สญชัยราชกุมาร เมื่อพระกุมารทรงพระเจริญวัย พระเจ้าสีวิมหาราช ทรงนำราชกัญญาพระนามว่าผุสดี ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามัททราช มาอภิเษกสมรสกับพระกุมารนั้น ทรงมอบให้ทั้งสองครองราชสมบัติสืบแทนต่อมา พระนางผุสดีนั้น ในพระชาติที่เพิ่งผ่าน มาทรงเป็นพระอัครมเหสี ของท้าวสักกเทวราช ในพิภพดาวดึงส์ เมื่อจะเสด็จมาอุบัติ ในมนุษยโลกทรงรับพร 10 ประการ จากท้าวสักกเทวราช คือ ขอให้เสด็จอุบัติ ในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีวิราช 1. พึงเป็นผู้มีจักษุดำ เหมือนตาลูกมฤคีซึ่งมีดวงตาดำ 2. พึงมีขนคิ้วดำ 3. พึงเกิดในราชนิเวศน์นั้น มีนามว่าผุสดี 4. พึงได้พระราชโอรส ผู้ให้สิ่งอันประเสริฐ ผู้ประกอบการเกื้อกูล ในกระยาจก มิได้ตระหนี่ มีเกียรติยศอันพระราชา ทุกประเทศบูชา 5. เมื่อมีครรภ์ขออย่าให้นูนออกมา 6. ถันทั้งคู่อย่าหย่อนยาน 7. ผมหงอกก็อย่าได้มี 8. ธุลีก็อย่าได้ติดในกาย 9. พึงปล่อยนักโทษประหารได้ 10. พึงได้เป็นพระอัครมเหสี ที่โปรดปราน ของพระราชาในแคว้นสีพี ในพระราชนิเวศน์ อันกึกก้องด้วยเสียงร้องของนกยูง และนกกระเรียน พรั่งพร้อมด้วยหมู่วรนารี เกลื่อนกล่นไปด้วยคนเตี้ยค่อม อันพ่อครัวชาวมคธเลี้ยงดู กึกก้องไปด้วย เสียงกลอน และบานประตู อันวิจิตร มีคนใกล้ชิดเชิญชวนให้ดื่มกิน พระนางผุสดีเทพอัปสร จุติจากดาวดึงสเทวโลกนั้น มาประสูติในสกุลกษัตริย์ ได้เป็นพระอัครมเหสี ของพระเจ้าสญชัย ผู้ครองราชสมบัติ ในกรุงเชตุดร แค้วนสีพี
พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ทรงเป็นพระโอรส ของพระเจ้าสญชัย กับพระนางผุสดี ในพระนครเชตุดร แคว้นสีพี เล่ากันว่า เมื่อประสูตรออกมา ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ไปที่พระมารดา ตรัสว่า "ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันจักบริจาคทาน มีทรัพย์อะไรๆ บ้าง " พระชนนีตรัสว่า " พ่อจงบริจาคทาน ตามอัธยาศัยของพ่อเถิด " แล้วทรงวางถุงกหาปณะพันหนึ่ง ในพระหัตถ์ที่แบอยู่ ในวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ช้างพังเชือกหนึ่ง ได้นำช้างเผือกมงคลมาไว้ ในพระนครเชือกหนึ่ง ชนทั้งหลายตั้งชื่อให้ว่า ปัจจัยนาเคนทร์ เพราะช้างนั้นมีมาเนื่องจาก พระโพธิสัตว์เป็นปัจจัย
เมื่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์ มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ทรงศึกษาศิลปะทั้งปวงสำเร็จแล้ว พระราชบิดาจึงทรงนำ พระนางมัทรีผู้เป็นพระราชธิดา ของพระมาตุละ แต่มัททราชสกุล มาอภิเษกสมรสกับพระเวสสันดรกุมาร ทรงมอบราชสมบัติให้ปกครองสืบมา ต่อมาพระเวสสันดร และพระนางมัทรี ทรงมีพระราชโอรส ธิดา คือ ชาลี ราชกุมาร และกัณหาชินา ราชกุมารี พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ประทับบนคอช้างปัจจัยนาเคนทร์ ตัวประเสริฐอันตกแต่งแล้ว เสด็จทอดพระเนตร โรงทานทั้ง 6 เดือนละ 6 ครั้ง ทรงบริจาคทานเป็นประจำเสมอมา
ในกาลนั้น เมืองกาลิงครัฐฝนแล้ง เกิดภัยอันเกิดจากการอดอาหาร อดน้ำ เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมา ประชาชนเดือดร้อน จึงไปร้องเรียนให้พระราชาช่วยเหลือ ก็ไม่สามารถจะบันดาลให้ฝนตกลงมาได้ มีผู้แนะนำให้ไปทูลขอช้างทรงมงคล ของพระเวสสันดรมาไว้ในเมืองกาลิงค์ ฝนคงจะตกแน่นอน พระราชาจึงตรัสสั่งให้พราหมณ์ 8 คน ไปดำเนินการทันที ในที่สุดพระเวสสันดรโพธิสัตว์ ก็พระราชทานช้างทรงมงคลนั้นแก่พราหมณ์ไป ในขณะที่ประทับนั่งบนคอช้างนั่นเอง เสด็จลงมาจากคอช้าง ทรงมอบช้างมงคลให้พราหมณ์ทั้ง 8 นั้นแล้วได้เสด็จพระราชดำเนินกลับพระนคร
ประชาชนชาวเชตุดร พากันโกรธแค้นพระเวสสันดรโพธิสัตว์ ที่พระราชทานช้างมงคล ซึ่งเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองไป พากันชุมนุมร้องเรียนกล่าวโทษพระเวสสันดร ต่อพระเจ้ากรุงสญชัย ให้เนรเทศพระเวสสันดรออกไปจากเมือง จนในที่สุดพระเจ้ากรุงสญชัย ก็ต้องทรงยินยอมกระทำตาม จึงทรงส่งคนไปทูลพระโอรสให้ทรงทราบเรื่อง พระเวสสันดรทรงทราบเรื่องแล้ว ทรงขอผัดผ่อนไว้วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เพื่อพระองค์จะได้บริจาคทาน แล้วจึงจะเสด็จจากพระนครไป แล้วตรัสสั่งให้เสนาคุตอำมาตย์มาเฝ้า ตรัสสั่งให้จัดเตรียมสัตตสดกมหาทานให้เรียบร้อย ในวันรุ่งขึ้น คือ ช้าง 700 เชือก ม้า 700 ตัว รถ 700 คัน สตรี 700 คน ทาส 700 คน ทาสี 700 คน โคนม 700 ตัว เป็นต้น ทุกอย่างเตรียมไว้อย่างละ 700 แล้วเสด็จอำลาพระมัทรี เพื่อจะเสด็จออกผนวช พระองค์เดียว แต่พระมัทรียินดีตามเสด็จในทุกแห่งหน รวมทั้งจะพาพระชาลีกัณหา โอรสธิดาติดตามไปด้วย
พระนางผุสดีพระมารดาพระโพธิสัตว์ ทรงทราบว่าชาวเมืองให้ขับพระโอรส ออกจากเมือง เพราะพระราชทานช้างมงคล จึงได้ทูลขอพระราชา เมื่อพระราชาทรงยืนยันที่จะกระทำ ตามความต้องการของชาวเมือง จึงเสด็จมาหาพระโอรส และพระสุณิสา ต่างก็ครวญคร่ำร่ำไห้ อาลัยอาวรณ์ รุ่งเช้า พระเวสสันดรได้เสด็จมายังโรงทาน ทรงบริจาคสัตตสดกมหาทานที่ตระเตรียมไว้ พวกวณิพกกระยาจกทั้งหลาย ต่างพากันโศกสลดรันทดใจ สงสารพระเวสสันดรโพธิสัตว์ พระเวสสันดรทรงบริจาคทานอยู่จนถึงเวลาเย็น จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ได้เสด็จถวายบังคมลาพระชนกชนนี พร้อมด้วยพระมัทรีและโอรสธิดา พระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดี ต่างก็สงสาร 4 กษัตริย์ที่จะต้องพรากพลัดบ้านเมืองไป แต่เมื่อไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ จึงทรงขอให้พระมัทรีพร้อมด้วย พระชาลีกัณหาอยู่พระนครนี้ต่อไปเถิด อย่าให้เตลิดติดตาม พระเวสสันดรไปทนทุกข์ทรมานเลย แต่พระนางมัทรีไม่ทรงยินยอมทูลตอบว่า " อันแม่น้ำไม่มีน้ำก็เปล่าประโยชน์ แว่นแคว้นไม่มีพระราชาปกครองก็สูญเปล่า สตรีแม้มีพี่น้องตั้ง 10 คน ถ้าเป็นม่ายก็หายสูญ ธงเป็นเครื่องปรากฏแห่งราชรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏแห่งไฟ พระราชาเป็นเครื่องปรากฏแห่งแว่นแคว้น ภัสดาเป็นเครื่องปรากฏแห่งสตรี ความเป็นม่ายเป็นความตรอมตรมในโลก หม่อมฉันจักต้องไปแน่นอน " ฯลฯ " ส่วนลูกชาลีและกัณหา ทั้ง 2 นั้น เป็นพระลูกรักของหม่อมฉัน ลูกทั้ง 2 นั้นจักยังดวงใจ ของหม่อมฉันทั้ง 2 ผู้โศกเศร้าให้รื่นรมย์ในป่านั้น "
ครั้นรุ่งสางสว่างแล้ว 4 กษัตริย์ คือ พระเวสสันดรโพธิสัตว์ พระนางมัทรี และพระโอรสธิดาชาลีกัณหา ก็ทรงอำลาประชาชน และเหล่าอำมาตย์ราชบริพาร เสด็จขึ้นประทับบนรถม้าพระที่นั่ง ที่เขาเตรียมไว้ เสด็จมุ่งพระพักตร์ตรงไปยังเขาวงกตทันที ในระหว่างทางเสด็จนั้นได้มีพราหมณ์ 4 คน มาดักรอขอเฝ้าอยู่แล้ว พราหมณ์ทั้ง 4 ได้ทูลขอม้าทั้ง 4 ตัวนั้น พระเวสสันดรโพธิสัตว์ก็พระราชทานให้ คงเหลือแต่รถเปล่าไร้ม้าเทียม เทพดาจึงเนรมิตเป็นละมั่งทอง มาลากรถของพระองค์ไป ในไม่ช้าก็มีพราหมณ์คนที่ 5 มาทูลขอรถพระที่นั่งนั้น พระองค์ก็พระราชทานแก่พราหมณ์ไป ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์ ก็ทรงอุ้มพระกุมารชาลี พระมัทรีทรงอุ้มพระธิดากัณหาชินา ต่างทรงสนทนาร่าเริงพระทัย เสด็จดำเนินไปตามมรรคาสู่ป่าเขา
ครั้นเสด็จดำเนินไปได้ 30 โยชน์ ด้วยอำนาจเทวดาช่วยย่นระยะทาง พอถึงตอนเย็นก็เข้าเขตนครเจตรัฐ พระยาเจตราชหกหมื่นพระองค์ เสด็จมาเฝ้าทูลถามความเป็นมา พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ได้ตรัสตอบตามความจริงตั้งแต่ต้น แล้วทรงสรุปว่า ชาวเมืองเชตุดรพากันขัดเคืองเรา และพระราชบิดาก็กริ้วขับไล่เรา เราจะไปยังเขาวงกต พระยาเจตราชทั้งหลาย ทูลเชิญให้ทรงพักผ่อนอยู่ที่เจตรัฐก่อน พวกตนจะพาไปทูลขออภัยโทษ ต่อพระราชบิดาของพระองค์ แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นด้วย เมื่อพระยาเจตราช ทรงขอให้ครอบครองราชสมบัติ อยู่ที่เจตรัฐนั้นเสียเลย พระเวสสันดรก็ไม่ทรงยินยอม ตรัสว่า " ดูก่อนพระยาเจตบุตรทั้งหลาย ความพอใจหรือความคิดเพื่อครองราชสมบัติ ไม่มีแก่เราผู้อันพระชนกนาถทรงเนรเทศแล้ว หากเราขืนกระทำไปความไม่ปรองดอง ก็จะพึงมีแก่พวกท่าน เพราะเราเป็นตัวการสำคัญ อนึ่ง ความบาดหมาง และการทะเลาะกับชาวสีพี เราไม่ต้องการ ใช่แต่เท่านั้น ความบาดหมางอาจรุนแรงขึ้น กลายเป็นสงครามใหญ่ก็เป็นได้ คนเป็นอันมากพึงฆ่าฟันกัน เพราะเหตุแห่งเราผู้เดียว ความปรารถนาดีของพวกท่าน เป็นอันเรารับไว้ด้วยใจเถิด พระราชบิดาขับไล่เรา เราจักไปเขาวงกต "
พระโพธิสัตว์พร้อมด้วยพระนางมัทรี และโอรสธิดา ทรงพักผ่อนที่เจตรัฐ 1 คืน พอรุ่งเช้าก็ทรงอำลาพระยาเจตราชทั้งหลาย เสด็จพระราชดำเนินต่อไป ตามมรรคาที่พระยาเจตราชทรงบอกให้ ในที่สุดก็เสด็จถึงเขาวงกต ทั้ง 4 พระองค์ได้เสด็จเข้าประทับ ในบรรณศาลา ซึ่งท้าวสักกเทวราชทรงบัญชา ให้พระวิสสุกรรมเทพบุตรสร้างไว้ถวายโดยเฉพาะ อันตั้งอยู่ใกล้สระโบกขรณี มีทิวทัศน์น่ารื่นรมย์ใจ พระเวสสันดรทรงผนวชเป็นฤาษี แม้พระนางมัทรีก็ทรงผนวชเป็นดาบสินี ในกาลต่อมาได้ทรงให้ 2 กุมารบวชเป็นฤาษีน้อย เช่นพระองค์ ทั้ง 4 พระองค์ทรงบำเพ็ญธรรม ยังเมตตาให้เป็นไปทั่ว เป็นที่รักใคร่ยินดี ของปวงสัตว์ทั้งหลาย พระนางมัทรีเป็นผู้ออกไปหาผลาผลมาอุปัฏฐาก บำรุงพระเวสสันดรฤาษี และพระฤาษีน้อยทั้ง 2 อย่างสุขสบาย สิ้นกาลผ่านมาได้ 7 เดือน
ครั้งนั้น มีพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อชูชก อยู่ที่ทุนนวิฏฐคาม ในแคว้นกาลิงค์ ภรรยาสาวของพราหมณ์นั้น ชื่ออมิตตา (นางอมิตดา หรืออมิตตตาปนา) เป็นคนสวยและขยัน ในกิจการบ้านเรือน พวกนางพราหมณีใกล้เคียง มักถูกพวกพราหมณ์สามีทุบตี เพราะเหตุที่ไม่น่ารัก และขยันเหมือนนางอมิตตา พากันโกรธแค้นนางอมิตตาผู้เป็นต้นเหตุ ให้ตนต้องถูกทุบตี จึงพากันมาประชุมที่ท่าน้ำขู่ คุกคามนางอมิตตา และด่าว่าต่างๆ นานา นางอมิตตากลัวจึงบอกพราหมณ์ชูชกผู้สามีว่า นางจะไม่ไปท่าน้ำอีกแล้ว เพราะพวกนางพราหมณี หลายคนคอยด่าว่าคุกคาม เพราะเหตุที่นางมีสามีเป็นคนแก่ ชูชกก็บอกว่า " ต่อไปนี้เจ้าอย่าทำการงานเพื่อฉันเลย ฉันจักทำการงานเองทุกอย่าง ขอให้เธออยู่อย่างสบายเถิด " นางอมิตตาก็บอกว่า " ท่านพราหมณ์ ดิฉันไม่ได้เกิดในตระกูลที่ใช้ผัว จึงใช้ผัวทำงานไม่ได้ ถ้าท่านไม่นำทาส หรือทาสีมาให้ดิฉัน ดิฉันก็อยู่กับท่านไม่ได้ " แล้วได้แนะให้ชูชกไปขอพระชาลีกัณหา จากพระเวสสันดร ในที่สุดชูชกก็ต้องตามใจนางอมิตตา ออกเดินทางไปเขาวงกตเพื่อขอ 2 พระกุมาร
ชูชกพราหมณ์ไปถึงเมืองเชตุดร ถามถึงที่อยู่ของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ กับประชาชน ถูกประชาชนขับไล่ไสส่ง และขว้างปาด้วยก้อนหิน และท่อนไม้ เป็นต้น ว่าเป็นพวกเดียวกับพวกพราหมณ์ ที่ทำให้พระโพธิสัตว์ต้องถูกเนรเทศ ไปอยู่เขาวงกต บัดนี้คงจะต้องมาขออะไรอีกเป็นแน่นอน พราหมณ์ชูชกต้องซมซานหลบหนี ไปทางเขาวงกต เข้าไปในป่าใหญ่ ได้ถูกฝูงสุนัขไล่กัดจึงหนีขึ้นไปหลบบนต้นไม้ นายพรานป่าเจตบุตร ซึ่งพระยาเจตราชตั้งไว้เพื่ออารักขาพระเวสสันดร มาพบเข้าก็ด่าว่าต่างๆ นานา จะฆ่าเสียให้ตาย แต่ชูชกก็โกหกเอาตัวรอดได้ โดยอ้างว่าตนเป็นทูตของพระเจ้าสญชัย เข้ามาในป่าใหญ่ ก็เพื่ออัญเชิญพระเวสสันดรกลับเมือง ถ้ารู้ขอให้บอกทาง พรานเจตบุตรเชื่อว่าเป็นจริง จึงชี้ทางให้ชูชกพราหมณ์ เดินทางไปยังเขาวงกต
ชูชกพราหมณ์เดินทางต่อไป ก็ได้พบพระอัจจุตฤาษี ได้หลอกลวงพระฤาษีว่าตนเป็นราชทูต ของพระเจ้ากรุงเชตุดร และถามทางไปยังวงกตคีรี พระมุนีก็ชี้ทางให้ จึงได้ออกเดินทางต่อไป จนถึงเขาวงกต มองเห็นบรรณศาลาพระนักพรตเวสสันดร ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสระโบกขรณีอันร่มรื่น คิดว่าวันนี้จวนมืดค่ำ พระนางมัทรีคงเสด็จกลับ จากการหาผลาหารในป่าแล้ว รอถึงพรุ่งนี้เช้า ให้พระนางเข้าป่าเสียก่อนเถิด เราจึงค่อยเข้าเฝ้าพระเวสสันดรทูลขอ 2 พระกุมาร คิดแล้วก็เลยหาที่พักผ่อนหลับนอน แถวเนินไศลบนต้นไม้ใกล้ๆ นั่นเอง
ในเวลากลางคืน ก็เกิดอาเพศทำให้พระนางมัทรีทรงฝันร้าย ในฝันนั้นว่า มีชายคนหนึ่งรูปร่างล่ำสันใหญ่โต ถือดาบเดินเข้ามาหาพระนาง มิได้พูดจาว่าอะไร ก็ใช้ดาบนั้นฟันพระพาหาทั้ง 2 ข้าง ของพระนางขาดออกจากร่าง แล้วควักเอาดวงเนตรทั้ง 2 ของพระนางไป ปล่อยให้พระนางนอนซม จมกองเลือดอยู่เพียงคนเดียว พระนางทรงสะดุ้งหวาดเสียว ต่อพาลภัยจนตกพระทัยตื่นบรรทม ทรงทราบว่าเป็นฝันร้ายคงมีเหตุอะไรแน่นอน ค่อนรุ่งคืนนั้น จึงเสด็จไปบรรณศาลาพระฤาษีเวสสันดร ทรงเล่าพระสุบินนั้นให้พระเวสสันดรฟัง พระฤาษีเวสสันดร ทรงสดับพระสุบินแล้วก็ทรงทราบว่า พรุ่งนี้จักมีคนมาขอ 2 กุมารเป็นแน่ แต่จะบอกข้อความนี้ ให้พระนางทราบก่อนยังมิได้ จึงตรัสปลอบพระนางมิให้ตกพระทัย จะมิมีอะไรร้ายแรงถึงชีวี เป็นเพราะพระน้องนางบรรทมมิดี จึงทรงฝันร้าย โปรดอย่ากังวลพระทัยเลย เชิญเสด็จกลับบรรณศาลาพักผ่อนเสียเถิด พระนางมัทรีผู้ประเสริฐได้ทรงฟัง แม้จะยังมิเสื่อมคลายหายกังวล แต่ก็จำต้องเสด็จกลับบรรณศาลา พอรุ่งเช้า พระนางทรงกระทำกิจที่ควรทั้งปวงแล้ว ได้สวมกอดพระโอรสธิดา แล้วประทานโอวาทว่า ลูกแม่คืนนี้แม่ฝันร้าย เกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น ขอลูกแม่ทั้ง 2 อย่าไปเล่นไกลพระบิดา แล้วทรงพาพระกุมารทั้ง 2 ไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ ฝากให้พระองค์ทรงดูแลพระกุมารทั้ง 2 แล้วพระนางก็ทรงถือกระเช้าและเสียม เป็นต้น เสด็จเข้าสู่ป่าเพื่อหาผลไม้ ด้วยพระทัยหวาดผวาอาดูร อันมิเคยปรากฏมาก่อน
ฝ่ายชูชกพราหมณ์ ตื่นนอนในตอนเช้าแล้วรอโอกาสอยู่ เมื่อเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้ว จึงละจากเนินเขา เข้าไปเฝ้าพระเวสสันดรโพธิสัตว์ เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงต้อนรับด้วยน้ำดื่ม และของกินแล้ว ได้ตรัสถามความต้องการ จึงกราบทูลว่าตั้งใจมาขอพระกุมารทั้ง 2 พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงมอบพระกุมารทั้ง 2 ให้เป็นทานแก่พราหมณ์ชูชกนั้น แล้วตรัสว่า ให้ชูชกนำพระกุมารทั้ง 2 ไปมอบให้พระเจ้าสญชัย ผู้เป็นพระอัยกา พระเจ้าสญชัยก็จะทรง พระราชทานทรัพย์ ให้พราหมณ์เป็นอันมาก และถ้าหากพระองค์จะทรงไถ่ตัวพระกุมารทั้ง 2 ก็ให้ไถ่ได้ดังนี้ พระชาลีมีค่าด้วยทรัพย์พันตำลึงทองคำ ส่วนพระกัณหาชินามีค่าด้วยทรัพย์ คือ ทาสี ทาส ช้าง ม้า โค อย่างละ 100 และทองคำ 100 ลิ่ม ชูชกพราหมณ์เมื่อได้ตัว 2 พระกุมารแล้ว ใช้เถาวัลย์ผูกพระหัตถ์เบื้องขวา ของพระชาลีกุมารรวมกันกับ พระหัตถ์เบื้องซ้าย ของพระกัณหาชินากุมารี ถือปลายเถาวัลย์นั้นไว้โบยตีพาไป
พระนางมัทรีทรงหวั่นพระทัยว่า เมื่อคืนฝันร้ายจักหาผลไม้แถวใกล้ๆ แล้วกลับอาศรมแต่วัน ขณะที่พระนางกำลังเสาะแสวงหาผลไม้อยู่นั้น ก็เกิดลางร้ายเสียมหลุดจากพระหัตถ์ กระเช้าหลุดจากพระอังสา พระเนตรเบื้องขวาเขม่น หาผลไม้ไม่ได้เกิดมืดมัวไปทั่วทิศ จึงเสด็จกลับอาศรมมาพบ 3 สัตว์นอนขวางทางไว้ คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ซึ่งเป็นเทพเจ้าปลอมแปลงมา เพื่อจะกั้นพระนางมิให้เสด็จกลับเร็ว เพราะเกรงว่าจะไปขัดขวาง การให้ทานของพระโพธิสัตว์ พระนางทรงอ้อนวอน 3 สัตว์อยู่จนเย็น สัตว์ทั้ง 3 จึงหลีกทางให้ เสด็จไปถึงอาศรมไม่ทรงเห็นพระกุมารทั้ง 2 ก็ยิ่งตกพระทัย เที่ยวค้นหาจนทั่วก็ไม่พบ ทูลถามพระเวสสันดร ก็ไม่ตรัสบอกอะไร ยิ่งเสียพระทัยจึงเที่ยวค้นหาอยู่ทั้งคืนก็ไม่พบ จนสิ้นสติสมประดี แทบพระยุคลบาทพระเวสสันดรนั่นเอง พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ทรงแก้ไขจนพระนางฟื้นคืนสติดีแล้ว จึงตรัสบอกความจริงว่า พระกุมารทั้ง 2 นั้นพระองค์ทรงให้เป็นทาน แก่พราหมณ์ผู้หนึ่งไปแล้ว ขอให้พระนางทรงอนุโมทนาในปิยปุตตทาน นี้เถิด พระนางมัทรีก็ทรงอนุโมทนา ยินดีในปิยปุตตทานของพระเวสสันดรโพธิสัตว์
ในวันรุ่งขึ้น พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ได้ทรงมอบพระนางมัทรี ให้เป็นทานแก่ท้าวสักกเทวราช ซึ่งทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ มาทูลขอเป็นปิยทารทาน แล้วท้าวสักกเทวราช ก็ถวายพระมัทรีคืน ให้พระโพธิสัตว์ แล้วพระราชทานพร 8 ประการ พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงขอพร 8 ประการ คือ
1.ขอให้พระราชบิดาเชิญพระองค์ เสด็จกลับพระราชนิเวศน์ และให้ปกครองราชสมบัติดังเดิม
2.ข้าพระองค์ไม่ชอบการฆ่าคน ขอให้มีอำนาจงดโทษแก่ผู้ทำผิดร้ายแรง อันเป็นโทษประหารได้
3.ขอให้ข้าพระองค์เป็นที่พึ่งของปวงชน ทั้งที่เป็นคนแก่ คนหนุ่ม และคนกลางคน
4.ข้าพระองค์ไม่พึงล่วงภรรยาผู้อื่น ยินดีเฉพาะภรรยาของตนเอง และไม่อยู่ในอำนาจของสตรี
5.ขอให้บุตรของข้าพระองค์ ที่พลัดพรากจงมีอายุยืน ได้ครองแผ่นดินโดยธรรม
6.ขอให้อาหารทิพย์ปรากฏมี เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น
7.ขอให้ทรัพย์ที่ข้าพระองค์บริจาค อย่าได้มีความหมดสิ้นไป บริจาคแล้วไม่พึงเดือดร้อนภายหลัง
8.เมื่อข้าพระองค์จุติจากอัตภาพนี้ พึงไปอุบัติในดุสิตสวรรค์ จุติจากภพนั้นมาเป็นมนุษย์ พึงเป็นผู้ไม่เกิดอีก
ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า พระราชบิดาของพระองค์ จักเสด็จมาพบพระองค์ในไม่ช้านี้ พระราชทานพรแด่พระเวสสันดรแล้ว เสด็จไปยังดาวดึงสพิภพ
ชูชกพราหมณ์พาพระกุมารทั้ง 2 ไปในมรรคา ล่วงไปได้กึ่งเดือนก็ไปถึงเมืองเชตุดร ด้วยอำนาจเทวดาชักพาไป ในราตรีกาลนั้น พระเจ้ากรุงสญชัยทรงพระสุบินว่า มีชายผิวดำนำดอกปทุม 2 ดอกมาวางไว้ในพระหัตถ์ ทรงรับดอกปทุมนั้นมาแล้ว ทรงประดับไว้ที่พระกรรณ ละอองเกสรดอกปทุมได้ล่วงลงบนพระอุระ ทรงตื่นบรรทม พอรุ่งเช้า พระเจ้ากรุงสญชัยทรงโปรดให้ทำนายพระสุบินนั้น พวกเขาทำนายว่า พระประยูรญาติของพระองค์ ที่ทรงจากไปนานจักเสด็จกลับมา พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นทรงยินดีนัก ขณะที่ประทับนั่งเพื่อเสวยนั่นเอง ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ กับพระกุมารยืนอยู่ที่พระลานหลวง จึงทรงให้ราชบุรุษไปตามตัวมาตรัสถาม เมื่อทรงทราบว่าเป็นพระชาลีกัณหาหลานรัก ที่พระบิดาพระราชทานให้แก่พราหมณ์ จึงทรงขอไถ่ตัว 2 กุมาร ไว้ตามที่พระเวสสันดรทรงตีราคา ไถ่ตัวไว้ทุกประการ ชูชกพราหมณ์กลายเป็นมหาเศรษฐี ไปในพริบตาเดียว มีทรัพย์สมบัติ ข้าทาสบริวารมากมาย ได้รับการเลี้ยงฉลองอย่างเต็มที่ ด้วยอาหารอย่างดีวิเศษ จึงรับประทานอย่างเต็มที่จนเกินประมาณ อาหารที่รับประทานเข้าไปทำพิษ หรือย่อยไม่ทัน จึงทำกาลกิริยา (ตาย) ในที่นั้นนั่นเอง พระเจ้ากรุงสญชัยให้ตีกลองป่าวประกาศ หาญาติผู้เป็นทายาทของชูชก เพื่อให้มารับทรัพย์สมบัติ ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครเป็นญาติ ผู้เป็นทายาท จึงโปรดให้ขนทรัพย์สมบัติทั้งมวลนั้น เข้าพระคลังหลวงดังเดิม
ครั้นแล้ว พระเจ้ากรุงสญชัย จึงตรัสสั่งเสนาอำมาตย์ จัดกองทัพนับได้จำนวน 12 อักโขภิณี ยกเป็นกองทัพใหญ่ออกจากพระนครเชตุดร มีพระชาลีราชกุมาร เป็นผู้นำทางเสด็จ ทรงรับพระเวสสันดร และพระนางมัทรีกลับมาอภิเษก ให้ครอบครองราชสมบัติ ในนครเชตุดรตามเดิม พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทานบารมีต่อไป ภพนี้เป็นภพสุดท้าย ที่ทรงบำเพ็ญบารมี เบื้องหน้าแต่หน้าก็จักเสด็จอุบัติในดุสิตพิภพ และเมื่อเสด็จจุติจากดุสิตพิภพ นั้นแล้ว ก็จะเสด็จอุบัติในมนุษยโลก เป็นพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระชาติสุดท้าย ไม่ทรงเกิดอีกต่อไป.
ขอขอบคุณบทความจาก http://www.baanjomyut.com/library/10buddha/vadsandhon.html