พระภูริทัต ทรงบำเพ็ญศีลบารมี



พระภูริทัตเป็นโอรสองค์ที่ 2 ใน 4 พระองค์ของท้าวธตรฐ กับพระนางสมุททชา ในนาคบุรี พระภูริทัตโพธิสัตว์นั้น ทรงมีพระปรีชาสามารถมาก เคยเสด็จไปพิภพดาวดึงส์กับพระบิดา ทรงเข้าสู่ที่ประชุม ของชาวสวรรค์ชั้นไตรทศ ทรงสามารถตอบปัญหาที่ใครๆ ตอบไม่ได้ จนท้าวสักกเทวราชทรงยกย่องชื่นชม และทรงบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยดอกไม้ และของหอมอันเป็นทิพย์ แล้วตรัสว่า  " พ่อทัตตะ เจ้าเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา อันไพบูลย์ประดุจดังแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจงชื่อว่า ภูริทัต เถิด "   พระภูริทัตทรงปรารถนาเทพสมบัติ ในพิภพดาวดึงส์ จึงทูลลาพระบิดา และพระมารดา เสด็จไปทรงรักษาศีลอุโบสถ เป็นประจำในนาคพิภพนั้น ต่อมาได้เสด็จ ไปรักษาศีลอุโบสถบนจอมปลวก ใกล้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ณ ริมฝั่งแม่น้ำยมุนาในมนุษยโลก โดยมีนางนาคกัญญา 10 นาง มาขับกล่อมแล้วบูชาด้วยของหอม และดอกไม้ทุกเช้า ทรงอธิษฐานศีลอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 คือ  " ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงมานำเอาไป "

               ในกาลนั้น มีพราหมณ์ผู้มีอาชีพเป็นนายพรานคนหนึ่ง ได้เข้าป่าหาเนื้อพร้อมกับบุตรชาย ชื่อโสมทัต พากันเดินมาทางจอมปลวก ที่พระโพธิสัตว์นอนอยู่ เห็นรอยเท้าเนื้อลงไปดื่มน้ำ จึงแอบอยู่แถวนั้น ตกตอนเย็นเนื้อตัวหนึ่งมาเพื่อดื่มน้ำ พราหมณ์จึงยิงเนื้อนั้นด้วยธนู ครั้นมืดค่ำ จึงพากันจึงพากัน ขึ้นไปนอนบนต้นไทรนั้น เวลาใกล้รุ่งพราหมณ์ตื่นขึ้น ได้เห็นนางนาคกัญญา พากันขับร้องประโคมดนตรี แวดล้อมชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บนจอมปลวก มีความสงสัยจะใคร่รู้ จึงลงจากต้นไม้เข้าไปไต่ถาม พระโพธิสัตว์ทรงตอบว่า พระองค์คือนาคผู้มีฤทธิ์ มาจากนาคพิภพ พระบิดาพระนามว่า ท้าวธตรฐ พระมารดาพระนามว่า พระนางสมุททชา เป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกพระองค์ว่า ภูริทัต พระโพธิสัตว์เกรงว่าพราหมณ์ผู้นั้น จะทำลายการรักษาอุโบสถศีลของพระองค์ จึงทรงพาพราหมณ์ และบุตรไปเสวยสุขสมบัติในนาคพิภพ ทรงมอบนางนาคกัญญา ให้คอยปรนนิบัติรับใช้คนละ 400 นาง
               พราหมณ์นั้นอยู่ในนาคพิภพ เป็นเวลาหนึ่งปี ก็มีความเบื่อหน่าย จึงลาพระโพธิสัตว์ พาบุตรกลับบ้าน ซึ่งพระโพธิสัตว์ก็ทรงให้นาคมานพ ไปส่งยังโลกมนุษย์ พราหมณ์นั้นเป็นคน ไม่รู้จักบุญคุณคน ในกาลต่อมา จึงพาพราหมณ์อาลัมพายน์ผู้เป็นหมองู มาจับพระโพธิสัตว์ เพื่อแลกกับแก้วมณี แต่ในที่สุดแก้วมณีนั้นก็หลุดมือหล่น หายไปสู่นาคพิภพตามเดิม พราหมณ์นั้น นอกจากไม่ได้แก้วมณีแล้ว ยังชื่อว่าประทุษร้ายมิตร เพราะเนรคุณต่อโพธิสัตว์อีกด้วย แม้แต่โสมทัตบุตรชายก็ตีจากไป ไม่คบหาด้วย พราหมณ์อาลัมพายน์นั้น ได้จับพระภูริทัตโพธิสัตว์ ไปบังคับให้แสดงอิทธิฤทธิ์ ให้คนดูแลกกับเงิน พระโพธิสัตว์เป็นผู้รักษาอุโบสถศีล ย่อมไม่ทรงเบียดเบียนทำร้ายใคร พราหมณ์สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ เสวยทุกข์เป็นอันมาก
               ฝ่ายพระนางสมุททชา ผู้เป็นพระมารดาของพระภูริทัตโพธิสัตว์ ได้ทรงพระสุบินว่า มีคนดุร้ายมาตัดพระพาหาข้างขวาไป ตั้งแต่นั้นมาก็โศกเศร้าเสียพระทัย คิดถึงพระโพธิสัตว์ที่หายไป เมื่อพระโอรสทั้ง 3 มาเฝ้าทราบเรื่องจึงรับอาสาออกติดตาม พระสุทัสสนะได้ปลอมพระองค์เป็นดาบส โดยมีนางอัจจิมุขี พระน้องนางต่างพระมารดา แปลงเป็นเขียดน้อยนอนไปในชฎา ได้เสด็จไปทรงตรวจดูสถานที่ ซึ่งพระโพธิสัตว์ทรงรักษาอุโบสถศีล ก็ทรงทราบว่าพระภูริทัตโพธิสัตว์ ถูกมนุษย์จับไป จึงทรงติดตามไปจนถึงเมืองพาราณสี เมื่อทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์อาลัมพายน์ หมองู ผู้ซึ่งกำลังเปิดรายการนาคราชแสดงฤทธิ์ อยู่ท่ามกลางฝูงชน จึงเสด็จเข้าไปดูด้วยผู้หนึ่ง
               ภูริทัตนาคราชเลื้อยออกมาจากที่คุมขัง แลดูโดยรอบเมื่อเห็นสุทัสสนดาบส ผู้พี่ชายก็ดีใจ จึงรีบเลื้อยเข้าไปหา พอไปถึงก็ฟุบหน้าร้องไห้บนหลังเท้าดาบส เมื่อสร่างโศกบ้างแล้ว ภูริทัตนาคราชจึงเลื้อยกลับไปในที่อยู่ พราหมณ์อาลัมพายน์เข้าใจว่า นาคของตนกัดดาบสก็ตกใจ รีบเดินเข้าไปปลอบว่า  " ท่านดาบส นาคของเรากัดเท้าท่านกระมัง เอาเถอะ ท่านไม่ต้องกลัวหรอก เราจะเยียวยารักษาให้ท่านเอง "   สุทัสสนดาบสจึงบอกพราหมณ์ว่า นาคตัวนี้ทำอะไรตนไม่ได้แน่ เพราะในบรรดาหมองูที่มีในโลก ไม่มีใครเก่งกล้ายิ่งไปกว่าตน พราหมณ์ได้ฟังก็โกรธด่าว่าดาบส แล้วดาบสและพราหมณ์ ก็ท้าทายพนันกันว่า ระหว่างงูหงอนแดง กับลูกเขียดน้อยนั้น ใครจะมีพิษร้ายแรงยิ่งกว่ากัน ผู้แพ้จะต้องจ่ายทรัพย์ 1,000 กหาปณะ ให้ผู้ชนะ แล้วสุทัสสนดาบส ก็เข้าเฝ้าพระเจ้าสาครพรหมทัต พระเจ้ากรุงพาราณสีผู้ทรงเป็นพระเจ้าลุง ขอให้ทรงเป็นนายประกัน ในทรัพย์ 1,000 กหาปณะนั้น
               สุทัสสนดาบสเรียกลูกเขียดน้อยในชฎาออกมา ลูกเขียดน้อยอัจจิมุขีผู้มีฤทธิ์ ก็กระโดดลงมานั่งที่ฝ่ามือดาบส คายพิษไว้ 3 หยด แล้วจึงกลับเข้าไปในชฎาตามเดิม สุทัสสนดาบส ได้กราบทูลพระเจ้าสาครพรหมทัต ให้ทรงทราบว่า พิษนี้ร้ายแรงยิ่งหากหยดลงบนแผ่นดิน ต้นไม้ใบหญ้า ก็จะเหี่ยวแห้งตาย จนหมดสิ้น หากซัดขว้างไปในอากาศ ฝนและน้ำค้างจะไม่ตกตลอด 7 ปี และหากทิ้งลงในแม่น้ำ บรรดาสัตว์ในน้ำ ก็จะพึงตายหมดไม่มีเหลือ จึงให้คนขุดบ่อขึ้น 3 บ่อ บ่อที่ 1 ใส่ยาต่างๆ จนเต็ม บ่อที่ 2 ใส่โคมัย (ขี้วัว)ให้เต็ม บ่อที่ 3 ใส่ยาทิพย์จนเต็ม แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อที่ 1 ขณะนั้นนั่นเอง ก็เกิดเปลวเพลิงลุกโพลงขึ้น ในบ่อที่ 1 นั้น แล้วลุกลามไหม้ไปบ่อที่ 2 และบ่อที่ 3 จนหมดเชื้อจึงดับ ไอควันพิษได้ฉาบผิวกาย ของพราหมณ์อาลัมพายน์ ผู้ยืนอยู่ใกล้จนไหม้เกรียม กระดำกระด่างกลายเป็นโรคเรื้อน ด่างดำไปทั่วตัว พราหมณ์อาลัมพายน์นั้นร้อง ด้วยความตกใจกลัวว่า  " เรายอมปล่อยนาคราชแล้ว เรายอมแพ้ "   ภูริทัตนาคราชได้ฟังจึงรีบออกมาจากกรง เนรมิตร่างเป็นมานพ เดินเข้าไปหาสุทัสสนดาบส จากนั้นได้กราบทูลเรื่องราว ให้พระเจ้าพาราณสีทรงทราบทุกอย่าง พระราชาทรงโสมนัสยิ่ง  ฝ่ายพราหมณ์ผู้เป็นพราน ซึ่งเป็นผู้ประพฤติเนรคุณ พาหมองูไปจับพระโพธิสัตว์นั้น ได้พบพราหมณ์อาลัมพายน์หมองู ผู้เป็นโรคเรื้อนทั้งตัวได้คิดว่า ผู้นี้เบียดเบียนนาคภูริทัต แล้วจึงเป็นอย่างนี้ จึงไปยังแม่น้ำยมุนาเพื่อลอยบาป เมื่อไปถึงท่าปยาคะ ได้ทำพิธีสารภาพบาป ต่อแม่น้ำแล้วเดินลงไปในแม่น้ำ ถูกสุโภคนาคราชผู้เป็นน้องของพระโพธิสัตว์จับตัว ทำทารุณกรรม แล้วนำไปยังนาคพิภพเพื่อพิจารณาโทษ ที่เป็นต้นเหตุให้พระโพธิสัตว์ถูกจับไป อธิฏฐนาคราชน้องคนสุดท้อง ซึ่งนั่งเฝ้าประตูห้องภูริทัตอยู่ เห็นสุโภคะทรมานพราหมณ์ จึงห้ามไว้ไม่ให้เบียดเบียนพราหมณ์ เพราะพวกพราหมณ์ชื่อว่าเป็นบุตรของพระพรหม หากพระพรหม ทรงทราบจะพิโรธ และบุคคลผู้ทำสักการะนับถือ หรือบูชาพราหมณ์ผู้ทรงพระเวท และบูชาไฟแล้ว ย่อมไปสู่เทวโลกเป็นจำนวนมาก ผู้ใดเลี้งพราหมณ์ทั้งหลายมานาน ด้วยข้าวและน้ำตามกำลัง ผู้นั้นมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาอยู่ เมื่อสิ้นชีพแล้วได้ไปเกิดเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง

               พระเจ้าภูริทัตโพธิสัตว์ได้ทราบว่า อธิฏฐะผู้น้องมีความเห็นผิด และทำให้ผู้อื่นเชื่อตามผิดๆ เป็นมิจฉาทิฐิ คิดจะช่วยให้พ้นจากความเห็นผิด กลับเป็นสัมมาทิฐิ จึงสั่งให้พวกนาคประชุมกัน แสดงธรรมปรารภอธิฏฐะว่า
               " ดูก่อนอธิฏฐะ ความกาลีคือ ความปราชัยของนักปราชญ์ทั้งหลาย กลายเป็นความมีชัย ของคนโง่เขลาผู้ทรงพระเวท พระเวทเป็นเสมือนพยับแดด เพราะไม่เห็นเสมอไป เป็นเครื่องสำหรับ หลอกลวงคนโง่เขลาเท่านั้น หลอกผู้มีปัญญาไม่ได้ พระเวทมิได้มีไว้เพื่อป้องกันผู้ประทุษร้ายมิตร และผู้ล้างผลาญความเจริญ ถ้าคนทั้งหลายจะเอาไม้ที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติของตน คลุกกับหญ้าให้ไฟเผา ไฟเผาสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดแล้วไม่พอไม่อิ่ม ถ้าบุคคลได้บุญเพียงเพราะ เอาไม้และหญ้าให้ไฟกิน คนเผาถ่าน คนหุงเกลือ พ่อครัว และคนเผาศพ ก็จะพึงได้บุญมาก คนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา พวกมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดา คนเหล่านี้ทั้งหมดเข้าใจผิดไป ไฟและน้ำไม่ใช่เทพเจ้า บุคคลใดบำเรอไฟ ซึ่งไม่มีอินทรีย์ ไม่มีกายใจ จะรู้สึกได้เพียงส่องแสงสว่าง เพราะอาศัยเชื้อเท่านั้น เมื่อบุคคลนั้นยังทำบาปกรรมอยู่ จะพึงไปสุคติได้อย่างไร "
               พวกพราหมณ์ผู้ต้องการปัจจัย ในการเลี้ยงชีพกล่าวว่า  " พระพรหมเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง พระพรหมบำเรอไฟ และพระพรหมมีอานุภาพกว่าทุกสิ่ง "   แต่พระพรหมกลับกราบไหว้บูชาไฟ เพราะเหตุไร คำของพวกพราหมณ์น่าหัวเราะ ไม่เป็นความจริง พวกพราหมณ์ในกาลก่อนกล่าวไว้ เพราะเหตุแห่งสักการะ เมื่อลาภสักการะเกิดขึ้น พวกพราหมณ์จึงร้อยกรองยัญพิธีว่า เป็นธรรมสงบ ระงับโดยการฆ่าสัตว์บูชายัญ พวกพราหมณ์ถือการเรียนพระเวท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนาค้าขาย และพวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณทั้ง 4 มีหน้าที่การงานตามที่กล่าว เพราะพระเป็นเจ้า คือพระพรหม ทรงจัดสรรกำหนดไว้(พรหมลิขิต) ถ้าคำนี้เป็นจริง คนที่ไม่ใช่กษัตริย์ก็ไม่พึงได้ราชสมบัติ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ก็ไม่พึงศึกษามนต์ คนนอกจากแพศย์ ก็ไม่พึงทำการไถนาค้าขายเลย และพวกศูทรก็ไม่พึงพ้นจากการรับใช้ผู้อื่น
               ถ้าหากพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก เป็นเจ้าชีวิต ไฉนจึงจัดโลกให้ยุ่งเหยิง มีความทุกข์ และอยุติธรรม ทำไมจึงไม่จัดโลกให้เรียบร้อย มีสุขและยุติธรรม เมื่อจัดโลกไม่เป็นธรรม พระพรหมนั้นจึงชื่อว่า เจ้าชีวิตอยุติธรรม คำกล่าวนี้ไม่ใช่ของพระอริยะ เป็นความเห็นผิดๆ ของพวกพราหมณ์
               ถ้าหากว่าคนที่ฆ่าผู้อื่นกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ และผู้ถูกฆ่าเข้าถึงแดนสวรรค์แล้วไซร้ พวกพราหมณ์ก็พึงฆ่าพราหมณ์ด้วยกัน หรือฆ่าผู้หลงเชื่อถ้อยคำของพราหมณ์ พวกเนื้อปศุสัตว์ และโคตัวไหนๆ ก็ไม่เคยอ้อนวอนเพื่อให้ฆ่าตนเลย ล้วนแต่ดิ้นรนต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งนั้น พวกพราหมณ์ฆ่าสัตว์บูชายัญ เพื่อต้องการทรัพย์ พอหลอกลวงคนได้ทรัพย์มา ก็ประชุมกินเลี้ยงกันเป็นอันมาก เหมือนฝูงกาตอมนกเค้าฉะนั้น
               ดูก่อนอธิฏฐะ พราหมณ์เช่นนั้นเป็นเสมือนโจร ไม่ใช่สัตบุรุษ เป็นผู้ควรถูกฆ่า แต่ไม่มีใครฆ่าในโลก พวกพราหมณ์กล่าวว่า ไม้ทองหลางเป็นแขนขวา ของพระอินทร์ จึงตัดเอาไม้ทองหลางมาใช้ในยัญนี้ ถ้าคำนั้นจริงพระอินทร์ก็แขนขาด ทำไมยังเอาชนะพวกอสูรได้ คำนั้นจึงเป็นเท็จ พระอินทร์ยังมีแขนพร้อมเป็นเทพผู้ทรงฤทธิ์ ไม่มีใครฆ่าได้ กำจัดอสูรได้ มนต์ของพราหมณ์เหลวเปล่า
               พวกพราหมณ์กล่าวว่า มหาสมุทรซัดท่วมพวกพราหมณ์ ขณะกำลังตระเตรียมน้ำอยู่ที่ริมฝั่ง เพราะเหตุนั้นน้ำในมหาสมุทรจึงเค็มดื่มไม่ได้ ก็แม่น้ำเคยพัดพาเอาพราหมณ์ ผู้เรียนพระเวททรงมนต์ ไปจมน้ำตายมากกว่านั้น เหตุไรน้ำในแม่น้ำจึงมีรส ไม่เค็มไม่เสีย บ่อน้ำทั้งหลายในมนุษย์โลกที่เขาขุดไว้ กลายเป็นน้ำกร่อยเค็มไปก็มี แต่คงไม่ใช่เค็มเพราะ ท่วมพราหมณ์ตาย น้ำในบ่อเหล่านั้นก็ดื่มไม่ได้ ฯลฯ
               พระภูริทัตโพธิสัตว์ ครั้นแสดงธรรมให้พวกนาคเข้าใจ และชื่นชมยินดีแล้ว ได้สั่งให้นาคมานพ นำพราหมณ์นั้นออกไปจากนาคบุรี โทษแม้นิดหนึ่งก็มิได้กระทำต่อพราหมณ์ นั้นเลย พระโพธิสัตว์บำเพ็ญศีลบารมี บริสุทธิ์บริบรูณ์ ด้วยประการฉะนี้


ขอบคุณบทความจาก http://www.baanjomyut.com/library/10buddha/phuritad.html