พระเนมิราช ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี



พระเนมิราชทรงครองราชสมบัติ สืบสันตติวงศ์ในพระนครมิถิลา ทรงโปรดให้สร้างโรงทาน 5 แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร 4 แห่ง ท่ามกลางพระนคร 1 แห่ง พระราชทานทรัพย์ที่โรงทานวันละ 500,000 กหาปณะทุกวัน ทรงบำเพ็ญเบญจศีลเป็นนิตย์ ทรงสมาทานอุโบสถทุกวันอุโบสถ ทรงชักชวนมหาชนในการบำเพ็ญบุญ มีให้ทานรักษาศีล เป็นต้น ทรงแสดงธรรมสอนประชาชน ให้ทราบทางสวรรค์ และทางนรก ประชาชนประพฤติปฏิบัติตามพระราโชวาทนั้น เมื่อจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปบังเกิดในเทวโลกเป็นจำนวนมาก หมู่มนุษย์และเทวดา พากันยกย่องสรรเสริญพระเนมิราช ต่อมาพระเนมิราชทรงฉงนพระทัยว่า การให้ทานกับการประพฤติ พรหมจรรย์นั้น อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน ทรงพระดำริสักเท่าไร ก็ไม่สามารถขจัดความสงสัย นั้นได้
               ขณะนั้น พิภพท้าวสักกเทวราช ก็แสดงอาการร้อนขึ้นมา ท้าวมัฆวานเทพกุญชรสหัสสเนตร (เป็นชื่อของท้าววาสวะ ท้าวสักกะ หรือพระอินทร์) ทรงทราบพระดำริของพระเนมิราช จึงเสด็จไปพระนครมิถิลา ประทับอยู่เบื้องพระพักตร์พระเนมิราชในทันที ทรงเปล่งพระรัศมี อันรุ่งโรจน์ส่องสว่างไปทั่ว พระเนมิราชเมื่อทรงทราบว่า ท้าวสักกเทวราชเสด็จมา เพื่อทรงอนุเคราะห์พระองค์ จึงทูลถามว่า ทานและพรหมจรรย์อย่างไหนมีผลานิสงส์มากกว่ากัน ท้าวสักกเทวราชตรัสตอบว่า บุคคลย่อมเกิดในขัตติยสกุล เพราะประพฤติพรหมจรรย์อย่างต่ำ บุคคลได้เป็นเทพเจ้า เพราะประพฤติพรหมจรรย์ปานกลาง และบุคคลย่อมหมดจดวิเศษ เพราะประพฤติพรหมจรรย์อันสูงสุด หมู่พรหมอันใครๆ จะพึงได้เป็นเพียงวิงวอนก็หาไม่ ต้องเป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือน บำเพ็ญตบะธรรม จึงจะได้บังเกิดในพรหมโลกนั้น
               ท้าวสักกเทวราชเมื่อจะทรงชี้ชัดว่า การประพฤติพรหมจรรย์เป็นคุณ มีผลมากกว่าทาน ร้อยเท่า พันเท่า หรือแสนเท่า จึงทรงแสดงเรื่องพระราชาในอดีต 7 พระองค์ ผู้ทรงบริจาคมหาทานแล้ว ก็มีผลเพียงไปสู่สวรรค์ชั้นกามาพจร เท่านั้น ไม่สามารถเข้าถึงพรหมโลกได้ ส่วนพระฤาษีหรือดาบส ผู้บำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ เป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือน ได้ก้าวล่วงสวรรค์ชั้นกามาพจร บังเกิดในพรหมโลก แม้พระองค์ผู้เป็นท้าวสักกะเอง ก็เคยทรงบริจาคมหาทาน แก่พระฤาษีหมื่นองค์ ที่ฝั่งแม่น้ำสีทา ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงพรหมโลกได้ แต่พระฤาษีผู้รับทาน และประพฤติพรหมจรรย์ กลับสามารถเข้าถึงพรหมโลกได้ จึงเห็นได้ชัดว่า การประพฤติพรหมจรรย์ มีผลมากกว่าการให้ทาน แต่ก็ทรงโอวาทให้พระเจ้าเนมิราช ทรงประพฤติในธรรมทั้ง 2 คือ บริจาคทาน และรักษาศีลด้วย แล้วได้เสด็จสู่ดาวดึงสพิภพ
               เทพบุตร เทพธิดา ประชุมกันอยู่ที่เทพสภาชื่อสุธรรมา มีความปรารถนาจะเห็น พระเนมิราชโพธิสัตว์ จึงพากันทูลขอร้องท้าวสักกเทวราช ให้ทรงอัญเชิญเสด็จมา ท้าวสักกเทวราชทรงรับคำแล้ว จึงมีเทวบัญชา มาตลีเทพบุตร ให้นำเวชยันตรถอันเทียมด้วย สินธพหนึ่งพันตัว ไปรับพระเนมิราชแห่งกรุงมิถิลา มายังเทพสภานี้ มาตลีเทพบุตรรับเทพโองการแล้ว เทียมเทพรถขึ้นไปทันที ได้ทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ เมื่อพระเนมิราชเสด็จขึ้นประทับนั่ง บนเวชยันตรถเรียบร้อยแล้ว พระมาตลีเทพสารถี จึงขับรถตระเวนชมนรกภูมิเรื่อยไป พร้อมทั้งกราบทูลถึงสาเหตุ แห่งการตกนรกนั้นๆ ด้วยคือ
               ขุมที่ 1  เวตรณีนรก เป็นแม่น้ำร้อนอันเดือดพล่าน ลุกโพลงด้วยเปลวเพลิง สัตว์นรกต้องลอยคออยู่ในน้ำนั้น มีนายนิรยบาลถือศาสตราวุธ มีมีด หอก ดาบ เป็นต้น คอยแทง ฟัน สัตว์นรกนั้น พระเนมิราชทอดพระเนตรแล้ว ได้ตรัสถามพระมาตลีว่า สัตว์เหล่านี้ทำบาปอะไร จึงเป็นเช่นนี้ พระมาตลีจึงกราบทูลว่า สัตว์เหล่านี้เมื่ออยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีกำลังมีใจชั่ว ชอบเบียดเบียน ด่าทอผู้ไม่มีกำลัง เมื่อสิ้นชีพแล้ว จึงมาอยู่ในเวตรณีนรกนี้
               ขุมที่ 2  เป็นแดนที่พวกสัตว์มีสุนัข แร้ง กา ที่น่ากลัว กำลังไล่ฟัดกัดกินสัตว์นรก อย่างน่าสยดสยอง สัตว์นรกพวกนี้เมื่อเป็นมนุษย์เป็นผู้ตระหนี่ มีบาป มักบริภาษ เบียดเบียนด่ากระทบ สมณพราหมณ์ เมื่อสิ้นชีพแล้ว จึงมาถูกฝูงแร้งกา เคี้ยวกินในที่นี้
               ขุมที่ 3   เป็นแดนที่สัตว์นรกเดินย่ำเหยียบ อยู่บนแผ่นเหล็กอันลุกโชนร้อนแรง มีนายนิรยบาลคอยตีด้วยท่อนเหล็ก อันลุกโพลงให้จมลงจนตาย กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ ถูกทรมานเรื่อยไปเช่นนี้ สัตว์นรกพวกนี้ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีบาป ชอบเบียดเบียนด่ากระทบผู้มีกุศลธรรม กระทำกรรมหยาบช้า จึงมาเกิดในที่นี้
               ขุมที่ 4  เป็นแดนหลุมถ่านเพลิง พวกสัตว์นรกถูกทิ่มแทงทรมาน อยู่ในหลุมถ่านเพลิงนั้น สัตว์พวกนี้ เมื่อเป็นมนุษย์นั้นเป็นคนชอบโกง ชอบสร้างพยานเท็จ หลอกลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นมีหนี้สินทุกข์ร้อน จึงมาเสวยทุกข์ในหลุมนี้
               ขุมที่ 5  เป็นแดนหม้อโลหะใหญ่ อันเดือดพล่านร้อนแรง สัตว์นรกถูกจับโยนลงในหม้อนี้ สัตว์พวกนี้เมื่อเป็นมนุษย์ ชอบเบียดเบียนด่ากระทบ สมณพราหมณ์ผู้มีศีล จึงตกในโลหกุมภีนี้
               ขุมที่ 6  เป็นแดนที่สัตว์นรกถูกผูกคอ ด้วยเชือกเหล็กอันร้อนลุกโพลง เอาหัวจุ่มในน้ำร้อน แล้วโบยตีและตัดคอเสีย พวกนี้เมื่อเป็นมนุษย์เป็นคนมีบาป จับนก และสัตว์อื่นๆ มาฆ่า จึงมาเสวยทุกข์นี้
               ขุมที่ 7  เป็นแดนน้ำแกลบ สัตว์นรกที่กระหายน้ำ พอจะดื่มน้ำนั้นก็กลายเป็นแกลบอันร้อน เมื่อดื่มเข้าไปก็ไหม้อวัยวะภายใน เจ็บปวดทรมาน สัตว์พวกนี้เมื่อเป็นมนุษย์ เป็นคนใจไม่สะอาด ขายข้าวเปลือกแท้ ปนด้วยข้าวลีบ และแกลบ แก่คนทั่วไป ตายแล้วจึงมายังที่นี้   ขุมที่ 8   เป็นแดนล้อมแทงสัตว์นรกด้วยอาวุธ เหมือนนายพรานล้อมเนื้อไว้แทงนั่นแล สัตว์พวกนี้เมื่อเป็นมนุษย์ เป็นคนลักสิ่งของ ของคนอื่นมาเลี้ยงชีพ

               ขุมที่ 9  เป็นแดนผูกคอสัตว์นรก ด้วยเชือกเหล็กร้อน ให้นอนบนแผ่นเหล็กร้อน แล้วทุบตี แทงฟันด้วยอาวุธต่างๆ สัตว์พวกนี้เมื่อเป็นมนุษย์ เป็นผู้ชอบฆ่าสัตว์ขาย เป็นอาชีพ ฯลฯ
               ขุมที่ 10   เป็นแดนที่อยู่ของพวกมิจฉาทิฐิ ซึ่งมีรูปร่างแปลกประหลาด พิลึกพิลั่น เนื่องจากเมื่อเป็นมนุษย์นั้น เป็นผู้มีความเห็นเป็นบาป หลงทำกรรมด้วยความคุ้นเคย และชักชวนผู้อื่นในทิฐินั้น
               ต่อจากนั้นมาตลี ก็ขับรถมุ่งไปเทวโลก ผ่านวิมานแก้วมณี 5 ยอด ของเทพธิดาวรุณี ถึงวิมานทอง 7 วิมาน ของโสณทินนเทพบุตร ต่อไปถึงวิมานแก้วผลึก เป็นต้น พร้อมทั้งได้ทูลบอกถึงการกระทำ ที่ส่งผลให้มาเกิดในวิมานนั้นๆ ด้วย จนกระทั่งถึงเทพสภา ในดาวดึงส์ เทวดาทั้งหลายมีท้าวสักกเทวราช เป็นประธาน ได้พากันต้อนรับด้วยความยินดี และเชิญเสวยทิพยกามารมณ์ ในหมู่เทพเจ้าชาวดาวดึงส์ พระเนมิราชรัสห้ามว่า สิ่งที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้ ก็เสมือนยวดยาน หรือทรัพย์ที่ยืมเขามา ข้าพระองค์จึงไม่ปรารถนา สิ่งซึ่งผู้อื่นให้ บุญที่ข้าพระองค์ทำไว้ย่อมเป็นทรัพย์ ที่ติดตามข้าพระองค์ไป ข้าพระองค์จักกลับไป สร้างกุศลในหมู่มนุษย์ ด้วยการบริจาคทาน ประพฤติสม่ำเสมอ สำรวมและฝึกอินทรีย์ อันจะเป็นทางนำไปสู่ความสุข ไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง
               พระเนมิราชโพธิสัตว์ ประทับอยู่ในดาวดึงส์เทวโลกนั้น เป็นเวลา 7 วัน ยังหมู่เทพเจ้าให้ชื่นชมยินดี แล้วทูลลาท้าวสักกเทวราช เสด็จกลับเมืองมิถิลา ท้าวสักกเทวราช ทรงบัญชาให้มาตลีเทพบุตร นำเวชยันตรถไปส่งจนถึงพระราชวัง ในเมืองมิถิลา แล้วกลับไปยังพิภพดาวดึงส์ มหาชนแวดล้อมพระราชา ทูลถามเกี่ยวกับเรื่องเทวโลก พระเนมิราชทรงเล่าเรื่องเทวโลก และเรื่องท้าวสักกะ ให้มหาชนฟัง แล้วตรัสว่า แม้พวกท่านก็จงทำบุญ มีทาน เป็นต้น ก็จักไปบังเกิดในเทวโลกนั้นเหมือนกัน
               ในกาลต่อมา เมื่อนายภูษามาลากราบทูลว่า มีเส้นพระเกศาหงอกแล้ว จึงทรงให้ถอนออกมา เมื่อทอดพระเนตรเห็น พระเกศาหงอกนั้นแล้วสลดพระทัย พระราชทานบ้านส่วย แก่นายภูษามาลา และมอบราชสมบัติแด่พระราชโอรส เพื่อจะทรงผนวช ทรงได้บอกพระราชโอรสว่า
               " ผมหงอกที่งอกบนศีรษะของพ่อนั้น เกิดขึ้นแล้วก็นำความหนุ่มไปเสีย เป็นเสมือนเทวทูต มาเตือนว่าแก่แล้ว ครั้งนี้จึงเป็นคราวที่พ่อควรจะบวช "
               จากนั้นพระเนมิราชโพธิสัตว์ ก็ทรงผนวชเป็นดาบส แล้วประทับอยู่ ณ อัมพวันในราชวัง นั่นเอง ทรงเจริญพรหมวิหาร 4 มีฌานไม่เสื่อม เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ได้ไปสู่พรหมโลก


ขอบคุณบทความจาก http://www.baanjomyut.com/library/10buddha/namerad.html