สุวรรณสาม ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี



 สุวรรณสามกุมาร เป็นบุตรของทุกูลฤาษี และปาริกาฤาษีณี อาศัยอยู่ ณ บรรณศาลาริมฝั่ง แม่น้ำมิคสัมมตา ในหิมวันตประเทศ พระฤาษีทั้งสองนั้นเจริญเมตตา ภูมิกามาพจร จึงเป็นที่รักพอใจ ของบรรดาสัตว์ป่าในละแวกนั้น และหมู่สัตว์ในบริเวณนั้นไม่เบียดเบียนกัน อยู่ด้วยความรัก สามัคคีกลมเกลียวกัน เมื่อสุวรรณสามกุมารเกิดมา จึงอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์เป็นจำนวนมาก สัตว์ทุกชนิด ต่างคอยติดตามสุวรรณสามกุมาร ไปในที่ทุกแห่งเป็นประจำ สุวรรณสามกุมารฤาษีน้อย ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ ที่เสด็จอุบัติมา เพื่อทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี ในชาตินี้ เป็นผู้คอยปรนนิบัติรับใช้ บิดา มารดา มาตลอดจนกระทั่งอายุได้ 16 ปี อยู่มาวันหนึ่งพระฤาษี และพระฤาษีณี ซึ่งเป็นบิดา มารดา ของสุวรรณสาม ก็ตาบอดเพราะถูกพิษงู ในระหว่างเดินทางกลับที่อยู่ สุวรรณสามออกติดตามจนพบ แล้วให้บิดามารดา จับหลายไม้เท้าจูงกลับบรรณศาลา ได้ปลอบโยนท่านทั้งสอง ให้เบาใจว่า ขออย่าคิดอะไรเลย ตนจะเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้เอง ตั้งแต่นั้นมาสุวรรณสามก็ได้ปฏิบัติ บำรุงท่านทั้งสองตลอดมา
               ครั้งนั้น พระราชาพระนามว่า ปิลยักขราช แห่งกรุงพาราณสี เป็นผู้ที่ชอบเสวย เนื้อสัตว์ป่ามาก ได้ทรงมอบราชสมบัติให้พระชนนีปกครอง ส่วนพระองค์ทรงผูกสอด ราชอาวุธครบครัน เสด็จเข้าสู่หิมวันตประเทศเพียงพระองค์เดียว เพื่อทรงล่าสัตว์ป่าเป็นอาหาร เสด็จถึงท่ามิคสัมมตานที ที่สุวรรณสามลงตักน้ำ ได้ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าสัตว์ป่ามากมาย ก็ทรงทำซุ้มด้วยกิ่งไม้สีเขียว ประทับนั่งซ่อนพระองค์อยู่บนซุ้มนั้นเพื่อยิงสัตว์ ต่อมามิช้านาน พระราชาปิลยักขราช ก็ทอดพระเนตรเห็น พระโพธิสัตว์สุวรรณสาม ถือหม้อดินเดินมา มีหมู่มฤค (เนื้อ) แวดล้อมเป็นอันมากมุ่งสู่ท่าน้ำนั้น สุวรรณสามฤาษีน้อยนั้น เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย ก็ขึ้นจากน้ำ นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง เอาหนังเสือพาดเฉวียงบ่า ตักน้ำจนเต็มหม้อ แล้วเดินแบกกลับบรรณศาลา ขณะนั้น พระราชาทรงยิงพระโพธิสัตว์นั้นด้วยลูกศรอาบยาพิษ ฝูงมฤคพากันตกใจแตกหนีไป สุวรรณสามโพธิสัตว์ถูกลูกศรเสียบข้างจนทะลุ รู้สึกเจ็บปวดแทบสิ้นสติ สมประดี พยายามประคองหม้อน้ำค่อยๆ วางลง หันศีรษะไปในทิศทางที่อยู่ของบิดามารดา แล้วล้มนอนลงบนพื้นทรายนั้น คิดว่าเราไม่เคยสร้างเวรให้ใคร ในหิมวันตประเทศนั้น แม้บิดามารดาของเรา ก็ไม่เคยก่อเวรเลย แล้วจึงกล่าวว่า
               " ใครหนอใช้ลูกศรยิงเรา ผู้มิได้ระวังตัวแบกหม้อน้ำอยู่ ท่านเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือเป็นใคร ไฉนยิงเราแล้วหลบซ่อนอยู่ เนื้อของเราก็กินไม่ได้ หนังก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านยังยิงเราเพราะเหตุอะไร ดูก่อนสหายท่านคือใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกเถิด ทำไมท่านยิงเราแล้วจึงซ่อนตัวเสีย "
               พระราชาทรงสดับเสียงนั้น ทรงดำริว่า บุรุษนี้แม้ถูกเรายิงด้วยลูกศรอาบยาพิษแล้ว ก็ไม่โกรธไม่ด่าทอตัดพ้อเรา เรียกหาเราด้วยถ้อยคำที่น่ารัก แล้วเสด็จไปหาพระโพธิสัตว์ ตรัสตอบว่า
               " เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนเรียกเราว่าพระเจ้าปิลยักษ์ เราละแว่นแคว้น เที่ยวแสวงหามฤคเพราะความโลภ อนึ่ง เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ยิงธนูได้แม่นยำมาก แม้พญาช้างสาร หากมาสู่ระยะลูกศรของเรา ก็ไม่พึงพ้นไปได้ "
               พระโพธิสัตว์ได้เล่าให้พระราชาทรงทราบว่า ตนเป็นบุตรของฤาษี บิดามารดาตั้งชื่อว่าสามะ วันนี้กำลังนอนอยู่บนปากทางแห่งความตาย เพราะถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ ขอให้พระราชา ตรัสบอกว่าทรงยิงตนด้วยสาเหตุใด เมื่อพระราชาตรัสว่า  " เพราะพวกหมู่เนื้อเห็นท่านแล้วหนีไป เราโกรธก็เลยยิงท่าน "   จึงกราบทูลว่า จำเดิมแต่ตนนุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ ก็ได้เป็นเพื่อนเล่น ชื่นชมต่อกันกับมฤคทั้งหลาย และพวกกินนร ที่ภูเขาคันธมาทน์ ไม่มีความหวาดสะดุ้งกลัวต่อกันเลย พระราชาจึงตรัสบอกความจริงว่า ทรงยิงเพราะความโกรธและความโลภ และทรงไต่ถามถึงบิดา มารดา พระโพธิสัตว์สุวรรณสามจึงทูลว่า
               " บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอด ข้าพระองค์เลี้ยงท่านเหล่านั้นอยู่ในป่าใหญ่ เพื่อจะนำน้ำไปให้ท่านทั้งสองนั้น จึงมาแม่น้ำมิคสัมมตา บิดามารดายังมีอาหารเหลืออยู่บ้าง พอประทังชีวิตไปได้ห้าหกวัน แต่น้ำดื่มนั้นไม่มีแล้ว เกรงว่าจะต้องตายเพราะกระหายน้ำ ความทุกข์เพราะการถูกยิงนี้ยังพอทนได้ แต่ความทุกข์เพราะการไม่ได้เห็นบิดามารดา ไม่ได้ปฏิบัติบำรุงท่านทั้งสองนั้น เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่ เพราะอีกไม่นานข้าพระองค์ ก็คงต้องตายไป บิดามารดาผู้มีจักษุมืดบอด เมื่อไม่เห็นข้าพระองค์ ก็จักเที่ยวตามหาในป่าใหญ่ ได้รับทุกข์ "
               พระราชาทรงปลอบโยนว่า ขออย่าได้เศร้าเสียใจไปเลย พระองค์จะเป็นผู้ปรนนิบัติ เลี้ยงดูท่านทั้งสองเอง ขอให้บอกทางไปที่อยู่ ของท่านทั้งสองให้ก็พอแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ชี้ทางให้ แล้วกราบขอบคุณพระราชา ที่จะทรงเลี้ยงบิดามารดาแทนตน และขอฝากกราบบิดามารดาไปด้วย แล้วก็หมดสติสลบไป พระราชาเข้าพระทัยว่า พระโพธิสัตว์สิ้นชีวิตแล้ว ทรงเศร้าสลดพระทัยมาก ทรงคร่ำครวญว่า เราสำคัญว่าจะไม่แก่ไม่ตาย เพิ่งรู้เรื่องนี้ในวันนี้เอง เพราะได้เห็นสามบัณฑิตตาย สามบัณฑิตยังพูดอยู่กับเราเมื่อครู่นี้ บัดนี้ไม่พูดอะไรแล้ว เราจะต้องไปสู่นรกแน่นอน เพราะเราทำบาป หยาบช้ามามาก คนทั้งหลายจะประชุมกันในบ้านเมือง โพนทะนาว่ากล่าว เอาโทษเรา ใครเขาจะมาโพนทะนากล่าวโทษเราในป่าอันหามนุษย์มิได้นี้  กาลนั้น เทพธิดานามว่าพสุนธรี ซึ่งเคยเป็นมารดาพระโพธิสัตว์ในชาติก่อน พิจารณาดูพระโพธิสัตว์ ก็รู้เรื่องราวทั้งหมด ดำริว่า ถ้าเราไม่ไปในที่นั้น สุวรรณสามบุตรเราก็จักพินาศ แม้พระหทัยของพระราชาก็จักแตกสลาย บิดามารดาของสามะก็จะอดอาหาร และน้ำตาย แต่เมื่อเราไปจักสำเร็จประโยชน์แก่ทุกคน จึงไปสถิตในเบื้องบนอากาศโดยไม่ปรากฏกาย กล่าวกับพระเจ้าปิลยักษ์ว่า พระองค์ทรงทำผิดมาก กระทำกรรมชั่วแล้ว บิดามารดาและบุตร ผู้ไม่ประทุษร้าย ถูกพระองค์ประหารแล้ว ด้วยลูกศรลูกเดียว เชิญเสด็จเถิด ขอให้พระองค์ ทรงเลี้ยงดูบิดามารดา ผู้มีจักษุมืดบอดของสามบุตรโดยธรรมเถิด สุคติก็จะพึงมีแด่พระองค์ พระราชาสดับคำเทพธิดาแล้ว ทรงเชื่อถือ จึงทรงบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยดอกไม้แล้ว ทรงถือเอาหม้อน้ำบ่ายพระพักตร์ เสด็จยังบรรณศาลาของพระฤาษี

               พระทุกูลฤาษีนั่งอยู่ภายในบรรณศาลา ได้ยินเสียงก็รู้ว่าไม่ใช่บุตรของตน เพราะบุตรของตนเป็นคนเท้าเบา ไม่เดินหนักอย่างนี้ จึงไต่ถามดูว่าเป็นใคร เมื่อทราบว่าเป็นพระราชาแห่งแคว้นกาสี จึงถวายการต้อนรับ ด้วยถ้อยคำอ่อนหวานนอบน้อม เชิญเสวยผลไม้ และขอให้ทรงดื่มน้ำเย็น พระราชาทรงไต่ถามว่า ท่านจักษุมืดมองไม่เห็นอะไร ใครหนอนำผลไม้มาสะสมไว้ในที่นี้ เหมือนคนตาดีทำไว้ พระฤาษีก็ทูลตอบว่า พ่อสามกุมารรูปงาม ผู้มีเกศายาวดำสลวยผู้บุตรนั่นเอง เป็นคนนำผลไม้มา ตอนนี้กำลังไปตักน้ำคงใกล้จะกลับแล้ว พระราชาจึงตรัสบอกความจริงว่า บัดนี้พระองค์ได้ฆ่าสามกุมารผู้งดงาม ผู้มีเกศาดำยาวเสียแล้ว บนหาดทรายใกล้แม่น้ำ
               ปาริกาฤาษีณีผู้เป็นมารดาพระโพธิสัตว์ ได้ลงจากบรรณศาลามาถามเรื่องราว ทุกูลฤาษีก็เล่าเรื่องให้ฟังพร้อมกับสอนว่า เราทั้งสองอย่าปรารถนาบาปต่อพระเจ้ากาสี ผู้ยิงลูกเราด้วยธนูเลย ปาริฤาษีณีแย้งว่า  " บุตรที่รักหาได้ยาก เป็นผู้เลี้ยงเราทั้งสอง ผู้ตามืดบอดในป่า จะไม่โกรธบุคคลผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้นได้อย่างไร "  ทุกูลฤาษีก็กล่าวย้ำว่า   " บุตรที่รักหาได้ยาก เป็นผู้เลี้ยงเราทั้งสองผู้ตามืดบอดในป่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ บุคคลผู้ไม่โกรธต่อบุคคลผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้น "
               พระราชาทรงปลอบโยนฤาษีทั้งสอง มิให้เศร้าเสียใจว่า พระองค์เป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ยิงธนูได้แม่นยำนัก จักฆ่ามฤคและหาผลไม้ในป่า ปรนนิบัติเลี้ยงดูท่านทั้งสองเอง แต่ฤาษีทั้งสองไม่ยินยอมอ้างว่า พระองค์เป็นพระราชาของพวกตน ทำอย่างนั้นไม่สมควร พระราชามีความนับถือเลื่อมใส ในความอ่อนน้อมถ่อมตนของฤาษีทั้งสอง จึงขอให้ทั้งสองเป็นพ่อแม่ของพระองค์ พระองค์เองยอมเป็นบุตรแทนสามกุมาร แต่พระฤาษีทั้งสองไม่ยินยอม ขอให้พาพวกตนไปหาสามกุมาร แล้วพวกตนจะขอตายพร้อมกัน ณ ที่นั้น พระราชาไม่ทรงสามารถทัดทาน จึงได้พาไปในที่สุด เมื่อไปถึงพระฤาษีทั้งสอง ก็พากันร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก ปาริกาฤาษีณีได้กระทำสัจกิริยาว่า
               " ลูกสามะนี้เป็นผู้ประพฤติธรรมเป็นอาจิน เป็นผู้ประพฤติเพียงดังพรหม กล่าวแต่คำสัตย์คำจริง เป็นผู้เลี้ยงบิดามารดา มีความยำเกรงต่อผู้เจริญในสกุล เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ของพิษในกายของลูกสามะจงหายไป บุญอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ลูกสามะกระทำแก่เรา และแก่บิดาของเธอ ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศลนั้น ขอพิษในกายของลูกสามะจงหายไป "
               ทุกูลฤาษีก็ได้กระทำสัจกิริยาเช่นเดียวกัน และนางพสุนธรีเทพธิดาจากภูเขาคันธมาทน์ ก็ได้ทำสัจวาจาด้วยความเอ็นดูสามกุมารว่า   " เราอยู่ภูเขาคันธมาทน์ ตลอดราตรีนาน ใครอื่นเป็นที่รักของเรา ยิ่งกว่าสามกุมารไม่มี ของหอมล้วนแล้วด้วยไม้หอมทั้งหมด ณ คันธมาทน์บรรพตมีอยู่ ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจงหายไป "   เมื่อฤาษีทั้งสอง บ่นเพ้อรำพันอยู่นั่นเอง สามกุมารก็ลุกขึ้น ความเจ็บป่วยได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ไม่ปรากฎมีแผลเป็นให้เห็นเลย มหาอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น คือ พระโพธิสัตว์หายบาดเจ็บ ฤาษีบิดามารดากลับมองเห็นได้ดังเดิม พระอาทิตย์ขึ้น และท่านทั้งสี่นั้นปรากฎตัวอยู่ ณ บรรณศาลาพร้อมกันทีเดียว
               ต่อจากนั้นสุวรรณสามโพธิสัตว์ ได้กระทำปฏิสันถารพระราชา ด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน นอบน้อม เชิญเสวยผลไม้และเชิญให้ทรงดื่มน้ำเย็น อันนำมาจากมิคสัมมตานที เพื่อจะบรรเทาความสงสัยของพระราชา จึงทูลว่า
               " ข้าแต่มหาราช โลกย่อมสำคัญบุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่ เสวยเวทนาอย่างหนัก มีความดำริในใจเข้าไปใกล้แล้ว ยังเป็นอยู่แท้ๆ ว่าตายแล้ว ข้าแต่มหาราช โลกย่อมสำคัญบุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่ เสวยเวทนาอย่างหนัก ถึงความดับสนิทระงับแล้วนั้น ยังเป็นอยู่แท้ๆ (เช่น ข้าพระองค์) ว่าตายแล้ว
               บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมแก้ไขคุ้มครอง บุคคลนั้น นักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น บุคคลนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์ "
               พระโพธิสัตว์ได้แสดงธรรมถวายพระราชาเป็นอันมาก ให้พระราชาทรงตั้งอยู่ ในทศพิธราชธรรม และเบญจศีล พระราชาทรงรับโอวาท แล้วขอขมาพระโพธิสัตว์ และเสด็จกลับกรุงพาราณสี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล มีทาน เป็นต้น และทรงรักษาเบญจศีล ครองราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เมื่อสวรรคตได้เสด็จอุบัติในสรวงสวรรค์ แม้พระโพธิสัตว์และมารดาบิดา ได้บรรลุอภิญญาและสมาบัติแล้ว ในที่สุดแห่งอายุ ได้เข้าถึงพรหมโลกสิ้นทุกคน


ขอบคุณบทความจาก http://www.baanjomyut.com/library/10buddha/suwansam.html